This website uses cookies to improve your browsing experience.
GDPR
Skip to content Skip to footer

มหาดไทย ผนึกกำลังหอการค้าไทย ททท. TCEB และกลุ่มเซ็นทรัล ขยายช่องทางซื้อขายคาร์บอนเครดิตผ่านแอปพลิเคชัน CERO Carbon Wallet

มหาดไทย ผนึกกำลังหอการค้าไทย ททท. TCEB และกลุ่มเซ็นทรัล ขยายช่องทางซื้อขายคาร์บอนเครดิตผ่านแอปพลิเคชัน CERO Carbon Wallet เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สร้างพลังการมีส่วนร่วมเพื่อโลกใบเดียวนี้คงอยู่กับลูกหลานอย่างยั่งยืนตลอดไป

วันนี้ (7 ส.ค. 67) เวลา 14.00 น. ที่ห้อง Lotus Suite 1-2 ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์แอทเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการ Platform ซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Neutrality 4 ALL) ระหว่างหอการค้าไทย กระทรวงมหาดไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB และบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด โดยมี นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และนายพิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล ร่วมลงนาม โดยนายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นางประเสริฐสุข เพฑูรย์สิทธิชัย นายประสพโชค อยู่สำราญ รศ.วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ผศ.พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมในงานครั้งนี้ด้วย

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า ขอบคุณหอการค้าไทยที่ทำให้พวกเราได้พบกันในวันนี้ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยโดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ร่วมกับทุกภาคส่วนในสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคีเครือข่ายในระดับพื้นที่ภายใต้การนำของผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด นายอำเภอในพื้นที่ 878 อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง มุ่งขับเคลื่อนดูแลคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนตามคำมั่นสัญญา “76 จังหวัด 76 คำมั่นสัญญา เพื่อการพัฒนา เพื่อความเท่าเทียม เพื่อความยั่งยืน “โลกนี้เพื่อเรา”” เพื่อให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้มีโอกาสที่ดีของชีวิต โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

“ในเรื่องการขับเคลื่อนงานด้านสิ่งแวดล้อม เราโชคดีที่เราได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลากว่า 6 ปี จนผลิดอกออกผลเป็นจำนวนคาร์บอนเครดิตที่ทางองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) ได้ทำการรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตจากการรณรงค์จัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนในทุกหมู่บ้าน/ชุมชน ซึ่งพบว่า พี่น้องประชาชนมีความตื่นตัวและให้ความร่วมมือในจำนวนที่สูงมาก ทำให้เรามีปริมาณคาร์บอนเครดิตในช่วง 2 ปี (2565-2567) มากถึง 3 แสนตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าที่สามารถซื้อขายแปลงเป็นเงินกลับคืนสู่ชุมชน และในปี 2569 จะมี 1.87 ล้านตัน ซึ่งความสำเร็จที่ยั่งยืนเกิดจากความร่วมมือในการให้การสนับสนุนของทุกภาคีเครือข่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ภาคธุรกิจเอกชน” ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม จะเป็นแรงจูงใจ เป็นกำลังใจของพี่น้องประชาชน ที่จะหนุนเสริมจนส่งผลให้เกิดการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ด้วยการบริจาคเม็ดเงินลงไป offset สนับสนุนซื้อคาร์บอนเครดิตจากพี่น้องประชาชน ซึ่งเงินทุกบาท ทุกสตางค์ ไม่ได้กลับเข้าเป็นรายได้ของแผ่นดิน แต่จะกลับไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำแนกเป็นรายครัวเรือน โดยหากสังคมไทยเราจับมือช่วยเหลือกัน ก็จะกลายเป็นแรงผลักดัน ก็จะทำให้พี่น้องประชาชนร่วมกันนำเศษอาหารเศษขยะเปียกไปใส่ถังขยะเปียกลดโลกร้อน ช่วยกันลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ” นายสุทธิพงษ์ กล่าวเพิ่มเติม

นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่ออีกว่า ความร่วมมือของหอการค้าไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ในวันนี้ จะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้สังคมมีความยั่งยืน ในเรื่องการคัดแยกขยะและความรับผิดชอบต่อโลกใบเดียวนี้ ซึ่งในเชิงนโยบาย ทั้ง 4 หน่วยงานถือว่ามีอิทธิพลทางความคิดต่อผู้บริหารประเทศ ซึ่งหากพวกเราจับมือกันและเสนอต่อรัฐบาลให้มีการกำหนดกฎข้อบังคับต่อคนหรือองค์กรที่ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำเป็นต้องมีคาร์บอนเครดิต ไปชดเชย ก็จะเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ต่อสิ่งที่เรากำลังขับเคลื่อน เพราะจะทำให้คนไทย/ทุกหน่วยงานตื่นตัวในการรับผิดชอบในฐานะพลเมืองดีของโลกอย่างก้าวกระโดด

“งานในวันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ที่ภาคเอกชนและภาคราชการมีโอกาสร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดี ๆให้กับโลกของเรา โดยการลงมือทำทันที (Action Now) เราต้องร่วมกันเป็น Partnership ทำให้โลกใบเดียวนี้มีสุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาว เพื่อให้ลูกหลานของเราได้ภูมิใจว่า “ประเทศไทยของเราเป็นสมาชิกที่ดีของโลก” ในการทำให้โลกของเรามีชีวิตยืนยาว ด้วยการกระทำสิ่งที่ดีของพวกเราทุกคนเพื่อโลกใบเดียวนี้ตลอดไป” นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงท้าย

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ขอขอบคุณกระทรวงมหาดไทย และทุกหน่วยงานที่ได้มาร่วมแสดงออกถึงจุดยืนในความร่วมมือพัฒนา Platform ซื้อขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งทุกวันนี้เราต่างเผชิญอยู่กับสภาวะโลกร้อนที่ถูกยกระดับกลายเป็นสภาวะโลกเดือด โดยในเชิงการค้าเช่นกัน ผลกระทบจากสภาวะการณ์ดังกล่าวก็เกี่ยวข้องในด้านเศรษฐกิจ ทั้งนโยบายด้านกีดกันทางการค้าที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากการศึกษาด้านเศรษฐกิจกล่าวว่า ผู้ที่จะประสบความสำเร็จทางด้านการค้าไม่ใช่การมีของที่ดีที่สุดหรือมีคุณภาพที่สุด แต่ต้องเป็น ผลผลิตและอุตสาหกรรมประเภทที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยหอการค้าไทยจะให้ความรู้กับสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศและทำงานอย่างจริงจัง ในลักษณะ connect the dots และวันนี้ เป็นการเริ่มต้นแพลตฟอร์มการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งจะเกิดประโยชน์ทั้งต่อผู้ขายและผู้ซื้อ และขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาก ซึ่งในขณะนี้เราให้ผู้ประกอบการปรับตัวเข้ากับ Green Productivity ในทุก Industry และได้มีแหล่งทุนในการสนับสนุนสินเชื่อให้กับ Green Industry Productivity อีกด้วย

ด้านนายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา กล่าวว่า ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เรื่อง carbon offset ไม่ใช่เพียงเรื่องการทำความดี แต่เป็นเรื่องความสำเร็จของการทำธุรกิจ โดยเฉพาะในเรื่อง exhibition โดยเราจะส่งเสริมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ mice เพื่อให้ความสำคัญในเรื่องเหล่านี้ และเชื่อว่า ภายใต้การนำของกระทรวงมหาดไทยจะทำให้พวกเราประสบความสำเร็จในการช่วยกันดูแลโลกของเรา และ TCEB จะช่วยกันขยายฐานให้มี Stake Holder มากขึ้น เพื่อที่จะได้ขยายฐานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น

นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ กล่าวว่า ททท. มุ่งมั่นขับเคลื่อนส่งเสริมการท่องเที่ยวในทุกรูปแบบ ทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในช่วงที่ผ่านมาเกินกว่า 20 ล้านคน โดยในส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยท่องเที่ยวหมุนเวียนเกินกว่า 200 ล้านครั้ง และแน่นอนว่า การท่องเที่ยวล้วนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่ง ททท. สำนึกและตระหนักถึงเรื่องของการทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น โดยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ที่ครอบคลุมมิติด้านการท่องเที่ยว และเราจะทำทุกวิถีทางเพื่อส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยและโลกใบเดียวนี้

นายพิชัย จิราธิวัฒน์ กล่าวว่า จากสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ส่งผลให้จากหน้าร้อน หน้าฝน หน้าหนาว กลายเป็นหน้าฝุ่น และหน้าฝน โดยขณะนี้หอการค้าไทยได้พัฒนาแพลตฟอร์มในการซื้อขายคาร์บอนเครดิตสำหรับรายย่อย ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัลร่วมสนับสนุนพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อให้การจัดการระบบมีประสิทธิภาพ และร่วมประชาสัมพันธ์กระจายข่าวไปยังกลุ่มลูกค้าทุกกลุ่ม และที่ผ่านมาเราได้มีการคำนวณปริมาณการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอยไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศในทุกกิจกรรม ทั้งเทศกาลดนตรี และอื่น ๆ แล้วคำนวณ Offset ซื้อคาร์บอนเครดิต และหวังว่าแพลตฟอร์มนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อโลกของพวกเรา และเชิญชวนพวกเราทุกหน่วยงานช่วยกันขับเคลื่อนสังคมดูแลรักษาสภาพอากาศและทรัพยากรของโลกไปด้วยกัน

“การลงนามบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero และส่งเสริมให้ภาครัฐ เอกชน และบุคคลทั่วไป ได้ร่วมกันผลักดันการลดโลกร้อนผ่านแพลตฟอร์มซื้อขายคาร์บอนเครดิต CCXT (Carbon Credit Exchange of Thailand) อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันการซื้อขายคาร์บอนเครดิต หรือการชดเชยคาร์บอนเครติดจากกิจกรรมต่าง ๆ ยังอยู่ในวงจำกัดเฉพาะธุรกิจรายใหญ่ และภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เท่านั้น แพลตฟอร์มนี้จึงเป็นช่องทางหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมให้หน่วยงาน หรือผู้ประกอบการ และบุคคลทั่วไป ได้มีโอกาสเข้าถึงการชดเชยคาร์บอนเครดิตจากกิจกรรมต่าง ๆ โดยในเฟสแรก เริ่มต้นจากการชดเชยคาร์บอนเครดิตในกลุ่มท่องเที่ยว การจัดงานอีเว้นท์ อุตสาหกรรมไมซ์ และภาคบริการต่าง ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน CERO ที่เป็นแอปพลิเคชันแรกบนแพลตฟอร์มนี้ โดยกระทรวงมหาดไทย นำคาร์บอนเครดิตชุมชน จาก “โครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อน” เข้าสู่แพลตฟอร์มนี้ สำหรับฝั่งผู้ซื้อคาร์บอนเครติตมาจากการประชาสัมพันธ์จากหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและเครือข่าย ที่ได้เชิญชวนให้สมาชิกจำนวนกว่า 150,000 ราย เข้าร่วมใช้แพลตฟอร์มเพื่อสร้างแบบอย่างที่ดีต่อการดำเนินธุรกิจภาคการค้ายุคใหม่ นอกจากนี้ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ยังส่งเสริมให้เครือข่ายภาคการท่องเที่ยว โรงแรม ศูนย์การจัดประชุมสัมมนางานแสดงสินค้า ร่วมใช้แพลตฟอร์ม และ ททท. ประชาสัมพันธ์ให้กับเครือข่ายผู้ประกอบการภาคท่องเที่ยว ร่วมคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในแพลตฟอร์มของ ททท. และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขยายผลนำข้อมูลดังกล่าวมาเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันภายใต้โครงการ และกลุ่มเซ็นทรัล ร่วมเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์มดูแลการบริหารจัดการระบบแพลตฟอร์มให้มีประสิทธิภาพ และสะดวกต่อการใช้งาน โดยมีระยะเวลาดำเนินการร่วมกัน 5 ปี ผลักดันให้เกิดเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ และเพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย net zero ต่อไป

ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน CERO Carbon Wallet ได้แก่ Android ทาง https://play.google.com/store/apps/details?id=com.vekin.carbon_wallet และ IOS ทาง https://apps.apple.com/th/app/cero-carbon-wallet/id1614214805

Source : มติชนออนไลน์